keyword research tool หรือ เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เป็นเครื่องมือที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับใช้ในการหา คีย์เวิร์ด สำหรับคนทำ SEO เพราะหากปราศจากเครื่องมือนี้ คงเป็นเรื่องยาก ที่จะรู้ได้ว่าเว็บไซต์ไหน ควรใช้คีย์เวิร์ดอะไรถึงจะเหมาะสม อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในบทความก่อนนี้ (วิธีหา Keyword , ประเภทของ Keyword ใครยังไม่อ่านไปอ่านก่อน) ซึ่งในเนื้อหาของบทความนี้ เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของการใช้เครื่องมือชนิดนี้ พร้อมแนะนำผู้ให้บริการ (มีหลายเจ้ามาก) ที่คนทำ SEO ในไทยนิยมใช้กัน อย่าชักช้าเสียเวลาเลย ไปลุยกันเลยดีกว่า
Keyword Research Tool คืออะไร
เริ่มจากทำความรู้จักกับมันกันก่อนดีกว่าเจ้านี่มันคืออะไร เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด คือ เครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหา คำหลัก หรือ คำค้น ที่ผู้คนนิยมค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำค้นเหล่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถดูข้อมูลอื่น ๆ เช่น ปริมาณการค้นหารายเดือน การแข่งขัน และราคาประมูล
เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดมีหลายประเภท มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน เครื่องมือฟรีบางตัว เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest และ Answer the Public หรือเครื่องมือเสียเงินบางตัว เช่น Ahrefs, SEMrush และ Moz จะเลือกใช้เครื่องมือแบบไหน ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของคุณ หากคุณเป็นมือใหม่ เครื่องมือฟรีอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากคุณเป็นมืออาชีพแล้ว คุณอาจต้องการพิจารณาใช้เครื่องมือเสียเงินเพื่อประสิทธิภาพที่สูงกว่าก็ได้
แล้ว เมตริกสำคัญ ๆ ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง
เมตริก หรือ ค่าที่ใช้วัดผล ที่เครื่องมือแสดงออกมาแต่ละเจ้าอาจจะใช้คำไม่เหมือนกันอย่างเช่น SD (Search Difficulty) และ KD (Keyword Difficulty) ซึ่งเป็นค่าวัดเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมตริกหลัก ๆ ก็จะมีเหมือน ๆ กันดังนี้
- ปริมาณการค้นหารายเดือน (Search Volume) : นี่คือจำนวนครั้งที่ผู้คนค้นหาคำหลักนั้นใน Google ในแต่ละเดือน ปริมาณการค้นหารายเดือนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกคำหลัก เนื่องจากคำหลักที่มีปริมาณการค้นหารายเดือนสูงมีโอกาสดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น
- การแข่งขัน (Competition) : นี่คือระดับการแข่งขันในการติดอันดับสำหรับคำหลักนั้น การแข่งขันสูงหมายความว่าจะมีเว็บไซต์อื่นๆ อีกมากมายที่พยายามติดอันดับสำหรับคำหลักนั้น และอาจเป็นเรื่องยากที่จะติดอันดับ
- ความยากในการติดอันดับ (Keyword Difficulty) : นี่คือระดับความยากในการติดอันดับสำหรับคำหลักนั้น ความยากในการติดอันดับจะพิจารณาจากปริมาณการค้นหารายเดือนและการแข่งขัน
- ต้นทุนต่อคลิก (CPC): นี่คือจำนวนเงินที่คุณจะต้องจ่ายในแต่ละครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณในผลการค้นหาของ Google CPC แตกต่างกันไปตามคำหลัก โดยทั่วไปแล้ว คำหลักที่มีปริมาณการค้นหารายเดือนสูงและการแข่งขันสูงจะมี CPC สูง
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance): นี่คือความเกี่ยวข้องของคำหลักกับเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ คำหลักที่เกี่ยวข้องมีโอกาสดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น เนื่องจากผู้คนที่ค้นหาคำหลักนั้นมีแนวโน้มที่จะสนใจเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ
- ความยาว (Keyword Length): คำหลักมีความยาวแตกต่างกันไป คำหลักสั้นๆ (เช่น “รองเท้า”) มีโอกาสดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น เนื่องจากผู้คนมักจำคำหลักสั้นๆ ได้ดีกว่า คำหลักยาวๆ (เช่น “ซื้อรองเท้าออนไลน์”) มักมีความเกี่ยวข้องมากกว่า แต่ก็ยากที่จะติดอันดับมากกว่า
จะเห็นได้ว่ามีค่ามากมายเลยที่แสดงผลออกมาเมื่อเราใช้งาน Keyword Tool แต่ผมอยากจะแนะนำว่าให้โฟกัสไปที่ 2 ค่าหลัก ๆ แค่ปริมาณการค้นหารายเดือน กับ ความยากในการติดอันดับ ที่เหลือใช้เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจเลือกก็พอ
8 Keyword Research Tool ยอดฮิตสำหรับคนทำ SEO ในไทย
เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด มีเยอะมาก ๆ ในตลาดถ้านับกันทั้งโลกอะนะ แต่สำหรับคนทำ SEO ในไทย จะมีที่นิยมใช้กันอยู่ประมาณนี้ ขอแบ่งเป็นแบบฟรี กับ เสียเงิน แล้วกัน เพื่อน ๆ จะได้เลือกใช้กันถูก
แนะนำเครื่องมือแบบใช้ฟรี
1.Google Keyword Planner
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือฟรี ที่เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่อยู่ใน Google Ads ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำหลักที่ผู้คนค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถดูข้อมูลอื่นๆ เช่น ปริมาณการค้นหารายเดือน การแข่งขัน และราคาประมูล เครื่องมือนี้มีข้อได้เปรียบตรงที่ เป็นบริการของ Google โดยตรง ข้อมูลที่ได้จึงเป็นข้อมูลที่อ้างอิงจาก Google โดยตรง มีความแม่นยำค่อนข้างสูงเลย ซึ่งการสมัครใช้งานฟรีได้นั้น คุณต้องสมัคร Google Ads ก่อน แล้วถึงจะเข้าไปใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
ข้อดี:
- ฟรี
- ใช้งานง่าย
- ข้อมูลมีความแม่นยำ
ข้อเสีย:
- ไม่สามารถดูข้อมูลของคู่แข่งได้
- ข้อมูลมีความล่าช้า
2. Google Trends
Google Trends เป็นเครื่องมือฟรีของ Google ที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำค้นหาที่ผู้คนกำลังค้นหาบน Google และดูว่าคำค้นหาเหล่านั้นได้รับความนิยมอย่างไรในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แถมยังสามารถเปรียบเทียบการค้นหาได้ด้วยนะ ดีมาก ๆ สำหรับการใช้งานเพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กำลังนิยมในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ข้อดี
- ฟรี
- ใช้งานง่าย
- ข้อมูลมีความแม่นยำ
- สามารถเปรียบเทียบคำค้นหากับคำค้นหาอื่นได้
- สามารถดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคำค้นหา เช่น ปริมาณการค้นหารายเดือน แนวโน้มการค้นหา และประเทศที่ค้นหามากที่สุด
ข้อเสีย
- ข้อมูลอาจล่าช้า
- ไม่สามารถดูข้อมูลของคู่แข่งได้
- ไม่สามารถดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเว็บไซต์อื่นได้
3.Ubersuggest
Ubersuggest คือ เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ที่ให้บริการโดย Neil Patel เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำหลักที่ผู้คนค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถดูข้อมูลอื่น ๆ เช่น ปริมาณการค้นหารายเดือน การแข่งขัน และราคาประมูล จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่มีงบประมาณจำกัด หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่มีคุณสมบัติมากมายและใช้งานง่าย Ubersuggest ตอบโจทย์ได้แน่นอน
ข้อดี:
- ฟรี
- ใช้งานง่าย
- มีคุณสมบัติมากมาย เช่น การวิจัยคำหลัก การติดตามอันดับเว็บไซต์ และการวิเคราะห์คู่แข่ง
- อัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ
ข้อเสีย:
- ข้อมูลไม่ละเอียดเท่าเครื่องมือเสียเงินบางตัว
- ไม่มีฟีเจอร์บางอย่าง เช่น การติดตาม backlink
4.Keywordtool.io
Keywordtool.io เป็นครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดฟรี คล้าย ๆ กับ Ubersuggest ที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำหลักที่ผู้คนค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านั้นได้ แต่เครื่องมือนี้น่าจะเหมาะกับมือใหม่เท่านั้น เพราะฟีเจอร์ค่อนข้างน้อย แถมโฆษณาเยอะอีก หากคุณเป็นมืออาชีพแล้ว ต้องการข้อมูลที่ลึกขึ้น แนะนำไปใช้งานตัวที่มีฟีเจอร์มากกว่านี้จะดีกว่า
ข้อดี
- ฟรี
- ใช้งานง่าย
- มีข้อมูลมากมาย
- ครอบคลุมหลายประเทศ
ข้อเสีย
- ข้อมูลมีความล่าช้า
- มีโฆษณามาก
- ไม่สามารถดูข้อมูลของคู่แข่งได้
หมดแล้วสำหรับเครื่องมือฟรีที่พอใช้งานได้ ทีนี้มาดูแบบแอดวานซ์ ต้องเสียเงินซื้อมาใช้กันบ้าง
แนะนำเครื่องมือแบบเสียเงิน
1.Ahrefs
Ahrefs เป็นเครื่องมือ SEO ยอดนิยมที่ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและของคู่แข่งของคุณ รวมถึงติดตามอันดับการค้นหาของคุณและติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO ของคุณ โดย Ahrefs มีฟีเจอร์ให้บริการเพียบเช่น
- เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิรด (Keyword research tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำหลักที่ผู้คนค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านั้น
- เครื่องมือการวิเคราะห์เว็บไซต์ (Website audit tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม อันดับการค้นหา และประสิทธิภาพของลิงก์
- เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor analysis tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคู่แข่งในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม อันดับการค้นหา และประสิทธิภาพของลิงก์
- เครื่องมือติดตามอันดับการค้นหา (Rank tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถติดตามอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักต่างๆ
- เครื่องมือติดตามประสิทธิภาพแคมเปญ SEO (SEO campaign performance tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO ของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม อันดับการค้นหา และต้นทุน
ข้อดี
- Ahrefs มีเครื่องมือมากมายที่คุณสามารถใช้ได้เพื่อปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณ
- เครื่องมือของ Ahrefs ใช้งานง่ายและเข้าใจง่าย
- ข้อมูลของ Ahrefs อัปเดตอยู่เสมอ
- Ahrefs มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายที่จะช่วยคุณวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและของคู่แข่งของคุณ
ข้อเสีย
- มีราคาแพง
- เครื่องมือของ Ahrefs อาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้มือใหม่
โดยรวมแล้ว Ahrefs เป็นเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังและครอบคลุมที่จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณได้แบบ 360 องศาเลย เสียอย่างเดียวคือ มันแพงไปไหน่อย แค่นั้นเอง
2.Moz
Moz เป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2551 โดย Rand Fishkin และ Mike Moran Moz เป็นที่รู้จักกันดีในเครื่องมือ SEO ของตน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์และปรับปรุงอันดับการค้นหา คล้าย ๆ กับ Ahrefs แหละ จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของเมตริกการวัดผลนิดหน่อย โดย Moz มีฟีเจอร์เด่น ๆ ดังนี้
- Link Explorer: เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ลิงก์ที่ชี้ไปยังเว็บไซต์ของตน
- Keyword Explorer: เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาคำหลักที่ผู้คนค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านั้น
- On-Page Grader: เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของตนในด้านต่างๆ เช่น โครงสร้างเว็บไซต์ เนื้อหา และประสิทธิภาพของลิงก์
- Off-Page Grader: เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของตนในด้านต่างๆ เช่น ลิงก์ย้อนกลับและชื่อเสียงออนไลน์
- Rank Tracker: เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของตนสำหรับคำหลักต่าง ๆ
ข้อดี
- Moz เป็นเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังและครอบคลุม
- เครื่องมือของ Moz ใช้งานง่ายและเข้าใจง่าย
- ข้อมูลของ Moz อัปเดตอยู่เสมอ
- Moz มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายที่จะช่วยคุณวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและของคู่แข่งของคุณ
ข้อเสีย
- Moz มีราคาแพง
- เครื่องมือของ Moz อาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้มือใหม่
โดยรวมแล้ว Moz เป็นเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังและครอบคลุมที่จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณได้ดีเยี่ยมเลย ปกติแล้วคนทำ SEO จะเลือกใช้กันไม่ Moz ก็ Ahrefs เลือกเอาชอบค่ายไหน เพราะแพงทั้งคู่เหมือน ๆ กัน
3.SEMrush
SEMrush เป็นเครื่องมือ SEO และการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและของคู่แข่งของคุณ รวมถึงติดตามอันดับการค้นหาของคุณและติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO และการตลาดออนไลน์ของคุณ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือตัวแพง คล้าย ๆ กับ 2 เจ้าก่อนนี้ Moz , Ahrefs แต่จะมีฟีเจอร์เน้นหนักไปที่การทำตลาดออนไลน์มากกว่า โดยฟีเจอร์เด่น ๆ ก็จะมีประมาณนี้
- เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword research tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำหลักที่ผู้คนค้นหาบน Google และประเมินความยากง่ายในการติดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านั้น
- เครื่องมือการวิเคราะห์เว็บไซต์ (Website audit tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม อันดับการค้นหา และประสิทธิภาพของลิงก์
- เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor analysis tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคู่แข่งในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม อันดับการค้นหา และประสิทธิภาพของลิงก์
- เครื่องมือติดตามอันดับการค้นหา (Rank tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถติดตามอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักต่างๆ
- เครื่องมือติดตามประสิทธิภาพแคมเปญ SEO (SEO campaign performance tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO ของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าชม อันดับการค้นหา และต้นทุน
- เครื่องมือวิจัยโซเชียลมีเดีย (Social media research tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาและติดตามการพูดถึงแบรนด์ของคุณบนโซเชียลมีเดีย
- เครื่องมือการวิเคราะห์โซเชียลมีเดีย ( Social media analysis tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญโซเชียลมีเดียของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าถึง มีส่วนร่วม และยอดขาย
- เครื่องมือวางแผนเนื้อหา (Content planning tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถวางแผนและติดตามการเผยแพร่เนื้อหาของคุณ
- เครื่องมือติดตามประสิทธิภาพเนื้อหา (Content quality tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถติดตามประสิทธิภาพของเนื้อหาของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าถึง มีส่วนร่วม และยอดขาย
ข้อดีของ
- SEMrush มีเครื่องมือมากมายที่คุณสามารถใช้ได้เพื่อปรับปรุง SEO และการตลาดออนไลน์ของคุณ
- เครื่องมือของ SEMrush ใช้งานง่ายและเข้าใจง่าย
- ข้อมูลของ SEMrush อัปเดตอยู่เสมอ
- SEMrush มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายที่จะช่วยคุณวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณและของคู่แข่งของคุณ
- SEMrush มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมายที่จะช่วยคุณวิจัยโซเชียลมีเดียและวางแผนและติดตามการเผยแพร่เนื้อหาของคุณ
ข้อเสีย
- SEMrush มีราคาแพง
- เครื่องมือของ SEMrush อาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้มือใหม่
ว่ากันตามตรง SEMrush ถือเป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมช่วยในเรื่องการทำตลาดออนไลน์แบบครบวงจรเลยก็แหละ แต่มีราคาค่อนข้างแพงเลย ถ้าคุณเป็นเอเจนซี่ ที่รับทำตลาดออนไลน์ครบวงจรจะเหมาะมาก ๆ ถ้าเลือกใช้เครื่องมือตัวนี้ แต่ถ้าจะซื้อมาทำ SEO อย่างเดียว ส่วนตัวนะผมมองว่าเลือกใช้ Moz หรือ Ahrefs น่าจะดีกว่า
4.KWFinder
KWFinder เป็นเครื่องมือวิจัยคำหลักที่จะช่วยให้คุณค้นหาคำหลักที่มีแนวโน้มและแข่งขันได้น้อยสำหรับเว็บไซต์ของคุณ เครื่องมือนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปริมาณการค้นหารายเดือน การแข่งขัน และแนวโน้มของคำหลัก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าคำหลักใดเหมาะสมที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะมีฟีเจอร์ให้ใช้งานประมาณนี้
- เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword research tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถค้นหาคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยคุณค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณและคำหลักที่มีโอกาสดึงดูดการเข้าชมจากผู้คนมากที่สุด
- เครื่องมือติดตามอันดับการค้นหา (Rank tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถติดตามอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยคุณวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO ของคุณและดูว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังก้าวหน้าไปอย่างไร
- เครื่องมือวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญ SEO (SEO campaign performance tracking tool) : เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ SEO ของคุณในด้านต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหา อันดับการค้นหา และต้นทุน
ข้อดี
- เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและเข้าใจง่าย
- มีฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยคุณปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณ
- มีราคาไม่แพง มีแผนราคาหลากหลาย
ข้อเสีย
- อาจไม่ทรงพลังเท่ากับเครื่องมือวิจัยคำหลักอื่น ๆ เช่น Ahrefs และ SEMrush
- อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ขั้นสูง
KWFinder เป็นเครื่องมือเสียเงิน ที่ประสิทธิภาพแม้จะสู้เครื่องมือเทพอย่าง 3 เครื่องมือเสียเงินก่อนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเอาปัจจัยเรื่องราคามาพิจารณาแล้ว KWFinder ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม สำหรับบคนทำ SEO ที่พอจะมีงบประมาณอยู่บ้าง ได้ใช้ของที่ดีกว่าของฟรี แต่อาจจะไม่เทพเท่าของราคาแพงแค่นั้นเอง
สรุปแล้ว เครื่องมือ keyword research tool มีให้เลือกใช้มากมายหลายแบรนด์มากในตลาด จะเลือกใช้ของเจ้าไหน ก็ลองพิจารณาจากงบประมาณที่คุณรับไหว ถ้าคุณเป็นมือใหม่ เป็นฟรีแลนซ์ทำคนเดียว ก็พิจารณาใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Google Keyword Planer หรือ Ubersuggest หรือถ้าพอมีงบหน่อยก็ใช้เครื่องมือเสียเงินที่ราคาไม่แรงอย่าง KWFinder ก็ได้ แต่ถ้าคุณมีงบประมาณเยอะ ซื้อไปใช้ในองกรค์ก็แนะนำ เครื่องมือตัวเทพอย่าง Ahrefs , Moz และ SEMrush ไปเลย เพราะมีฟีเจอร์ที่มากกว่า ครอบคลุมกว่า ทรงพลังมากกว่า จะเลือกใช้เครื่องมือไหนพิจารณาจากความหมาะสมของตัวเองดีที่สุดครับ